ผู้หญิงเอเชียใช้โทนเนอร์กับสำหรับสกินแคร์รูทีน

7 ข้อดีและประโยชน์ของโทนเนอร์ ค่า pH แบบไหนเหมาะกับผิวเรา 

ทุกคนทราบไหมคะ ว่าการรักษาระดับค่า pH ของผิวเรานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก นั่นจึงทำให้ “โทนเนอร์” เป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่เราควรมีในกิจวัตรการดูแลผิวประจำวันนั่นเองค่ะ โดยประโยชน์ของโทนเนอร์นั้นคือ การทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันและเก็บรักษาค่าความเป็นกรดที่ปกคลุมผิวของเราอยู่ 

โทนเนอร์ไม่เพียงแต่ให้ประโยชน์กับผิวมันและผิวแพ้ง่ายเท่านั้นแต่สามารถช่วยรักษาความสมดุลให้กับผิวของเราได้ และสิ่งสำคัญเลย คือต้องทราบว่าค่า pH เป็นแค่ปัจจัยหนึ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อโทนเนอร์ เราควรลองศึกษาด้านอื่นๆด้วย เช่น ประเภทของผิว ส่วนผสม และความชอบส่วนตัว ว่าเราควรเลือกซื้อโทนเนอร์แบบไหนจะดีที่สุดนั่นเองค่ะ

ประโยชน์ของโทนเนอร์ ผู้หญิงเตรียมโทนเนอร์เช็ดหน้า

โทนเนอร์ที่มีค่า pH เหมาะสมกับผู้ใช้งาน ถือว่าเป็นโทนเนอร์ที่ดีสุดๆแล้วล่ะค่ะ มีข้อดีเยอะมากที่เราต้องลองใช้โทเนอร์ เช่น ช่วยสร้างสมดุลของการผลิตซีบัม (Sebum) ซึ่งเป็นน้ำมันที่ร่างกายของเราผลิตขึ้นเพื่อช่วยทำให้ผิวของเราชุ่มชื้น แต่หากมีการผลิตซีบัมมากเกินไป ผิวเราก็จะมีการสะสมความมันมากเกินไปนั่นเอง โทนเนอร์ที่ออกแบบมาสำหรับคนผิวมันจึงจะทำหน้าที่ช่วยลดการผลิตซีบัม และส่งผลให้การปรับผิวมีความสมดุลมากขึ้นได้นั่นเอง หรือ แม้กระทั่งช่วยกระชับรูขุมขน ไม่ทำให้เกิดสิวได้ง่ายนั่นเอง

ส่วนผสมต่างๆ ในโทนเนอร์ เช่น กรดแลคติก กรดอะมิโน และเปปไทด์ จะช่วยฟื้นฟูค่าความชุ่มชื้นของผิวเรา และยังคอยช่วยปกป้องผิวเราจากรังสียูวี ดังนั้นเราจึงควรเลือกโทนเนอร์ที่มีความเป็นกรดเพียงเล็กน้อย (สำหรับผิวมัน) หรือด่างเล็กน้อย (สำหรับผิวแพ้ง่าย/ผิวธรรมดา) ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับประเภทผิวของเรา 

นอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าเราจะมีสภาพผิวแบบไหน โทนเนอร์ ที่มีคุณภาพที่ดี หรือ ราคาสูงหน่อยตามเคาเตอร์แบรนด์ต่างๆ แต่มีข้อดีอีกมากเยอะมากกก เค้าจะคอยช่วยชะล้างสิ่งสกปรก ปรับสมดุลค่า pH ช่วยกระชับรูขุมขน ปกป้องผิวจากมลภาวะทางอากาศ และยังช่วยเตรียมผิวหน้าของเราให้พร้อมก่อนลงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอื่นๆ เช่น เซรั่ม และ เอสเซนส์ การใช้โทนเนอร์สำหรับผิวหน้าจึงสามารถช่วยทำให้สุขภาพผิวของเราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ และในขณะเดียวกันก็ช่วยรักษาสมดุลของผิวเราไปด้วย

ข้อดีของโทนเนอร์: โทนเนอร์จะช่วยดูแลผิวของเราได้ยังไงนะ

โทนเนอร์ที่มีค่า pH เหมาะสมนั้น จะสามารถช่วยฟื้นฟูผิวเราได้ในหลายๆด้านเลยล่ะค่ะ วันนี้พี่รัศมีจะมาเล่าประโยชน์บางข้อที่เด่นๆ ให้ทุกคนได้ทราบกัน

ประโยชน์ของโทนเนอร์ช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว

โดยปกติแล้ว ค่า pH ของผิวของเราควรเป็นกรดเล็กน้อยระหว่าง 4.5 ถึง 5.5 หากค่า pH ตามธรรมชาตินี้ถูกทำลาย จะทำให้เกิดปัญหาผิวต่างๆ ตามมาได้ เช่น ผิวแห้งกร้าน อาการแพ้ และเกิดการระคายเคืองได้ง่าย และการเกิดสิว ฉะนั้นการใช้โทนเนอร์ที่มีระดับ pH ที่เหมาะสม จึงสามารถช่วยปรับสมดุลของค่า pH ตามธรรมชาติของผิวเรา และช่วยป้องกันจากปัญหาผิวเหล่านี้ได้

ประโยชน์ของโทนเนอร์ช่วยทำให้ผิวกระชับขึ้น

โทนเนอร์ที่มีระดับ pH ที่เหมาะสม สามารถช่วยลดรูขุมขน หรือ กระชับรูขุมขน และช่วยให้ผิวกระชับขึ้นได้ค่ะ จึงทำให้ผิวดูเรียบเนียน แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น

ประโยชน์ของโทนเนอร์ช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ ซึมเข้าผิวเราได้ดีขึ้น

เมื่อค่า pH ของผิวของเราสมดุล เค้าจะสามารถดูดซับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่นๆ  เช่น เซรั่มและมอยเจอร์ไรเซอร์ โทนเนอร์จะช่วยเป็นตัวช่วยให้ผิวหน้าเราปรับสภาพและสามารถดูดซึมพวกครีมต่างๆให้ซึมซับเข้าผิวเราได้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ

ประโยชน์ของโทนเนอร์ช่วยปลอบประโลมผิว

โทนเนอร์ที่มีค่า pH ที่สมดุล จะช่วยปกป้องผิวจากการเกิดการระคายเคืองและสามารถช่วยปลอบประโลมผิวที่อักเสบได้ด้วยค่ะ เค้าจึงเป็นสกินแคร์ที่เหมาะมากๆสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือเป็นสิวง่าย

ประโยชน์ของโทนเนอร์ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย 

แบคทีเรียบางชนิดเจริญเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่มีระดับ pH สูง ดังนั้นการที่เราใช้โทนเนอร์ที่มีระดับ pH ที่เหมาะสมกับสภาพผิว จะช่วยให้ผิวเราไม่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของแบคทีเรียเหล่านี้ และลดความเสี่ยงของการเกิดสิวและปัญหาผิวอื่นๆ ได้นั่นเอง

โทนเนอร์สีฟ้าในขวดใส

ประโยชน์ของโทนเนอร์ช่วยปรับสมดุลการผลิตซีบัมให้กับผิว

ซีบัมเป็นน้ำมันที่ร่างกายเราผลิตขึ้น เปรียบเสมือนมอยเจอร์ไรเซอร์ตามธรรมชาติสำหรับผิวค่ะ แต่เมื่อมีการผลิตที่มากเกินไป อาจทำให้เรามีผิวมันได้ 

โทนเนอร์ที่มีค่า pH ที่เหมาะสมนั้นสามารถช่วยลดการผลิตซีบัม ลดรอยความมันต่างๆ ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง และลดขนาดของรูขุมขนที่กว้างได้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างอ่อนโยนและไม่ทำร้ายผิว ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ ลดการระคายเคืองของผิวจากมลภาวะต่างๆ โทนเนอร์ที่ดีต่อผิว จะสามารถช่วยคืนความสมดุลของผิว และทำให้เรามีผิวที่ดูสุขภาพดีขึ้นได้นั่นเองค่ะ

ถ้าทุกคนกำลังต้องการเลือกโทนเนอร์เพื่อควบคุมการผลิตซีบัมของผิวอยู่ พี่รัศมีอยากให้ลองหาโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของ ต้นวิชฮาเซล (Witch Hazel) ดูนะคะ ซึ่งเค้าจะมีสรรพคุณในการช่วยลดความมัน ช่วยกระชับรูขุมขน และสามารถช่วยปลอบประโลมผิวของเราด้วย นอกจากนี้ การเลือกใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้ หรือสารสกัดจากชาเขียว ก็จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบต่างๆ ได้เหมือนกัน

 

ประโยชน์ของโทนเนอร์ช่วยฟื้นฟูความชุ่มชื้นของผิว

นอกเหนือจากการสร้างสมดุลของการผลิตซีบัมแล้ว ส่วนผสมต่างๆ เช่นกรดแลคติก กรดอะมิโน และเปปไทด์ ยังมีส่วนช่วยในการคืนความชุ่มชื้นและความอวบอิ่มให้กับผิวอีกด้วยนะคะ โดยที่…

กรดแลคติค = จะช่วยซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากแสงแดด 

กรดอะมิโน = จะช่วยปกป้องเกราะของผิวจากการสูญเสียน้ำในผิวหนังชั้นนอก 

เปปไทด์ = จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆ นั่นเองค่า

นอกจากนี้ ส่วนผสมอย่าง ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide)  ซึ่งเป็นวิตามินบี 3 รูปแบบหนึ่งที่นิยมใช้เป็นสารบำรุงผิว ก็ยังเป็นส่วนผสมสำคัญในโทนเนอร์ที่สามารถช่วยลดรอยแดง ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง ทำให้ใบหน้าของเรากระจ่างใสขึ้น 

รวมถึงช่วยในเรื่องของการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวจากการถูกแสงแดดทำร้ายอีกด้วยค่ะ แถมยังมีคุณสมบัติที่ช่วยลดการอักเสบด้วยนะ เหมาะมากๆสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือเป็นสิวง่าย

โดยรวมแล้ว การใช้โทนเนอร์ที่มีค่า pH ที่เหมาะสม สามารถช่วยทำให้สุขภาพผิวดีขึ้นได้ และอย่าลืมนะคะหากอยากลองใช้โทนเนอร์แล้ว รับรองว่าจะขาดขั้นตอนนี้ไม่ได้เลย สำหรับการดูแลผิวเป็นประจำทุกวัน 

โทนเนอร์สำหรับผิวประเภทต่างๆ 

สำหรับผิวแห้ง

ควรเลือกโทนเนอร์ที่มีค่า pH เป็นกรดเล็กน้อย ประมาณ 4.5 ถึง 5.5 ซึ่งใกล้เคียงกับค่า pH ตามธรรมชาติของผิว ประโยชน์ของโทนเนอร์ที่มีค่า pH ต่ำ สามารถช่วยรักษาเกราะป้องกันตามธรรมชาติของผิวและป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวเรา โทนเนอร์จึงเป็นสกินแคร์ที่ดีมากๆสำหรับผิวแห้ง เพราะเค้าสามารถช่วยเติมน้ำให้ผิวและทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นได้

อีกทั้งยังช่วยบรรเทาการระคายเคืองและการอักเสบ ช่วยเตรียมผิวก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ช่วยปรับสภาพของผิว และทำงานเป็นเกราะป้องกันผิว ที่จะช่วยให้ผิวที่แห้งกร้านกลับมาเรียบเนียน นุ่ม อ่อนโยน และมีความสมดุลขึ้นค่ะ สำหรับคนที่มีผิวแห้ง พี่รัศมีแนะนำให้ลองมองหาโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยเติมน้ำให้ผิวดูนะคะ เค้าจะช่วยเพิ่มประโยชน์ในการให้ความชุ่มชื้นได้อย่างดีเยี่ยมเลยแหละค่ะ

สำหรับชาวผิวแห้งลองมองหาส่วนผสมตามนี้ ในโทนเนอร์ดูนะคะ เช่น 

– กรดไฮยาลูโรนิก: จะช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นในผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและอวบอิ่ม

– กลีเซอรีน: เป็นสารที่ให้ความชุ่มชื้นและกักเก็บความชื้นไว้ทำให้ผิวแห้ง ไม่ขาดน้ำนั่นเองค่ะ

– ว่านหางจระเข้: ส่วนผสมที่ให้ความอ่อนโยนต่อผิวและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวที่แห้งหรือระคายเคือง

– ดอกคาโมไมล์: อีกหนึ่งส่วนผสมที่มีความอ่อนโยนต่อผิว และช่วยลดการอักเสบ หรือรอยแดงจากผิวแห้ง

– วิตามินอี: สารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยปกป้องผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระและกระตุ้นการทำงานของเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ

ประโยชน์ของโทนเนอร์สำหรับผิวแห้ง

สำหรับผิวมัน

เช่นเดียวกันกับผิวแห้งค่ะ โทนเนอร์ควรมีค่า pH เป็นกรดเล็กน้อย ประมาณ 4.5 ถึง 5.5 ซึ่งใกล้เคียงกับค่า pH ตามธรรมชาติของผิว จะสามารถช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันตามธรรมชาติของผิวและป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว ช่วยกระชับรูขุมขน ผลัดเซลล์ผิว และช่วยให้สกินแคร์ดูดซึมเข้าสู้ผิวได้ดีขึ้น การทาโทนเนอร์เป็นประจำจะช่วยทำให้เราได้ผิวที่กระจ่างใสขึ้น และผิวมีความละเอียดขึ้น ความมันลดลง และสิวเสี้ยนน้อยลงค่ะ 

สำหรับคนผิวมัน ลองมองหาโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น

– กรดซาลิไซลิก: สามารถซึมลึกเข้าไปในรูขุมขนเพื่อละลายน้ำมันส่วนเกิน

– วิชฮาเซล: ช่วยกระชับรูขุมขนและลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน

– น้ำมันทีทรี: ช่วยต่อต้านการเกิดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวและลดการอักเสบในผิวมัน

– ไนอาซินาไมด์: รูปแบบของวิตามินบี 3 ที่สามารถช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันและลดการอักเสบของผิว

– ชาเขียว: ส่วนผสมที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยปลอบประโลมและปกป้องผิวของเรา 

ประโยชน์ของโทนเนอร์สำหรับผิวมัน

สำหรับผิวผสม

สำหรับใครที่มีผิวผสม ผิวประเภทนี้อาจเป็นประเภทที่ดูแลยากนิดนึงค่ะ เนื่องจากผิวจะมีลักษณะที่เป็นผิวมันและผิวแห้ง โทนเนอร์ที่มีค่า pH  4.5 ถึง 5.5 เป็นค่าที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีผิวผสมเช่นกันค่ะ โดยรวมแล้ว เมื่อเลือกโทนเนอร์สำหรับผิวผสม 

สิ่งสำคัญคือต้องมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH เป็นกรดเล็กน้อยและมีส่วนผสมที่สามารถปรับสมดุลการผลิตน้ำมันของผิวและให้ความชุ่มชื้นแก่บริเวณที่แห้งกร้าน หรือาจจะต้องทดลองกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวของเราโดยเฉพาะ

สำหรับคนผิวผสมลองมองหาส่วนผสมตามนี้ดูค่ะ เช่น 

– ไนอาซินาไมด์: สามารถช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันและช่วยปรับสภาพผิว

– กรดไฮยาลูโรนิก: สารให้ความชุ่มชื้นที่สามารถช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่บริเวณที่แห้งของผิวผสม ทำให้ผิวนุ่มขึ้น

– วิชฮาเซล: ช่วยกระชับรูขุมขนบริเวณทีโซน และลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน

– ชาเขียว: สารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยปลอบประโลมผิวและยังช่วยลดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน

– ว่านหางจระเข้: ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวทั้งผิวผสม ผิวมันและผิวแห้ง

ประโยชน์ของโทนเนอร์กับผิวผสม

สำหรับผิวธรรมดา

แม้แต่ผู้ที่มีผิวธรรมดาเองก็สามารถใช้โทนเนอร์ได้ค่ะ โทนเนอร์ควรมีค่าอยู่ระหว่าง 4.5 ถึง 5.5 หรือค่าทั่วไปที่ดีต่อผิวเราและเป็นกลางมากที่สุด การรักษาสมดุลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผิวที่มีสุขภาพดี เมื่อเลือกโทนเนอร์สำหรับผิวธรรมดา สิ่งสำคัญคือต้องมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีค่า pH อยู่ในช่วงนี้ค่ะ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงของค่า pH ตามธรรมชาติของผิว 

เมื่อเลือกโทนเนอร์สำหรับผิวธรรมดา ต้องมองหาผลิตภัณฑ์ที่สามารถช่วยเติมความชุ่มชื้น รักษาสมดุลและไม่ทำให้ระคายเคือง อีกทั้งช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน การใช้โทนเนอร์ในกิจวัตรประจำวันในการดูแลผิว จึงสามารถช่วยรักษาสุขภาพและความสมดุลของผิว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งและมีสุขภาพดีได้อย่างไม่ต้องสงสัย

สำหรับคนผิวธรรมดาลองมองหาส่วนผสมตามนี้ดูค่ะ เช่น 

ว่านหางจระเข้: ปลอบประโลมผิวและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

– กรดไฮยาลูโรนิก: ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และทำให้ผิวอ่อนนุ่ม

– ดอกคาโมไมล์: ลดการอักเสบของผิว

– กรดไกลโคลิก: ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว

– วิตามินซี: สารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยให้ผิวกระจ่างใสและสม่ำเสมอ

ประโยชน์ของโทนเนอร์สำหรับผิวธรรมดา

ส่งท้ายบทความประโยชน์ของโทนเนอร์

การใช้โทนเนอร์ที่มีค่า pH ที่สมดุลกับผิว ไม่ว่าสภาพผิวเราจะเป็นยังไง โทนเนอร์จะช่วยให้สุขภาพผิวโดยรวมของเราดีขึ้น และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและการบำรุงผิวไปในตัวด้วย สามารถกระชับรูขุมขน ผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวเรากลับมาเนียนสวยด้วยค่ะ โทนเนอร์ค่อนข้างสำคัญเอามากๆเลยแหละสำหรับสกินแคร์รูทีน 

ไม่ว่าจะตอนหลังตื่นนอนหรือก่อนเข้านอนนั้นขาดไม่ได้เลย ทั้งคนที่มีผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม หรือผิวธรรมดา การใช้โทนเนอร์ที่มีค่า pH ที่เหมาะกับลักษณะผิวที่เรามีจะดีที่สุด หากว่าใครยังไม่เคยเริ่มใช้โทนเนอร์ พี่รัศมีแนะนำให้ลองเริ่มใช้และศึกษาเกี่ยวกับผิวของเราก่อนนะคะค่อยๆทำความเข้าใจเกี่ยวกับผิวของเราแล้วเลือกโทนเนอร์ที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโทนเนอร์และค่า pH ของผิว

1. เราจะรู้ได้ยังไง เมื่อค่า pH ของผิวเราเสียสมดุล

เราจะรู้ได้ว่าค่า pH ของผิวเราเสียสมดุลก็ต่อเมื่อ

ผิวแห้งลอกเป็นขุย: แสดงว่าค่า pH ของผิวเป็นด่างเกินไปเกิดขึ้นเมื่อผิวนั้นขาดน้ำมันตามธรรมชาติ ซึ่งตัวด่างนี้จะไปทำลายชั้นเคลือบที่เป็นกรดของผิวและทำให้ร่างกายขาดน้ำ

รอยแดงและระคายเคือง: ค่า pH ของผิวเป็นกรดมากเกินไป เกิดจากเมื่อชั้นผิวถูกทำลายด้วยกรดจากผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่รุนแรง มลภาวะ หรือปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ

ผิวมันมาก: หากว่าผิวของเราผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป แสดงว่าค่า pH ของผิวเป็นด่าง เมื่อค่า pH ไม่สมดุล อาจทำให้แบคทีเรียบนผิวหนังเติบโตและ ทำให้เกิดการผลิตน้ำมันส่วนเกิน

สิว: ค่า pH ของผิวไม่สมดุลทำให้แบคทีเรียบนผิวหนังเติบโต ทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขนและเกิดสิวในที่สุด

2. โทนเนอร์ช่วยปรับสมดุลของค่า pH ให้กับผิวอย่างไร

เมื่อผิวผลิตน้ำมันมากขึ้น ความสมดุลของผิวจะกลายเป็นกรด ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าหลายชนิดจึงมีค่า pH เป็นด่าง ซึ่งจะช่วยปรับสภาพผิวที่เป็นกรดให้เป็นกลาง เพื่อป้องกันการเกิดสิวนั่นเองค่ะ และโดยปกติแล้วโทนเนอร์จะมีความเป็นด่างเล็กน้อย และใบหน้าของเราปกติแล้วค่า pH จะอยู่ที่ 4.5 ถึง 5.5 โทนเนอร์จึงช่วยให้ผิวเราปรับไปอยู่ที่ค่าเดียวกันกับค่า pH ตามธรรมชาติของผิว

3. เราจะรักษาค่า pH ของผิวให้สมดุลได้ยังไง

เพื่อรักษาค่า pH ของผิวให้สมดุล ควรเริ่มต้นด้วยการใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยนซึ่งเหมาะกับประเภทผิวของเราและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวผสมพวกมีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือซัลเฟต หลังจากทำความสะอาดผิวแล้ว ให้ใช้โทนเนอร์ช่วยปรับสมดุลค่า pH ตามธรรมชาติของผิว ให้ความชุ่มชื้นกับผิวเช่น การทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ ใช้ครีมกันแดดทุกวัน และรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่อุดมด้วยผลไม้ ผัก เมล็ดธัญพืช และโปรตีนไม่ติดมัน ดื่มน้ำมากๆ 

4. ค่า pH ที่ดีที่สุดสำหรับโทนเนอร์คือเท่าไร

ระดับค่า pH ที่ดีที่สุดสำหรับโทนเนอร์ขึ้นอยู่กับสภาพผิวค่ะ โดยทั่วไป ระดับค่า pH ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับโทนเนอร์จะเป็นกรดเล็กน้อย ระหว่าง 4.5 ถึง 5.5 ตามธรรมชาติของผิว การใช้โทนเนอร์ที่มีค่า pH ใกล้เคียงกันสามารถช่วยฟื้นฟูและรักษาสมดุลตามธรรมชาติของผิวได้ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกโทนเนอร์ที่เป็นสูตรเฉพาะสำหรับสภาพผิวของเราโดยเฉพาะและควรทำการทดสอบกับผิว ก่อนใช้ทั่วใบหน้า พี่รัศมีแนะนำให้ทุกคนลองใช้มอยส์เจอไรเซอร์ดีซักตัวๆ ที่ใช้เข้ากับผิวหน้าของเราได้อย่างดีไว้สักตัวด้วยนะคะ รับรองว่าเลิศแน่นอนค่ะ

 

โพสต์ที่เกี่ยวข้อง