- ปรับปรุงล่าสุด 16/10/2023
สงสัยมั้ยคะว่า ครีมกันแดดผสมอะไรอยู่ พี่รัศมีจะมาบอกความลับเกี่ยวกับทุกสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ SPFและPAคืออะไร ทำไมกันแดดถึงต้องมี 2 ตัวนี้ ?
เป็นเหมือนพี่รัศมีไหม ตอนแรกๆที่เราตั้งใจแล้วว่าจะไปซื้อกันแดดสักตัวมาใช้ แต่ว่าพอไปที่เคาท์เตอร์เพื่อเลือกซื้อเท่านั้นแหละ เกิดคำถาม เอ้ะ SPFและPAคืออะไรที่อยู่บนหน้าผลิตภัณฑ์ วันนี้เรามาทำความรู้จักเพื่อที่เราจะได้เลือกซื้อกันแดดด้วยค่า SPF กับ PA ที่เหมาะสมเรากันดีกว่าค่า
ก่อนที่เราจะเลือกซื้อกันแดดที่มีค่า SPF และ PA มีสิ่งที่ทุกคนต้องรู้ก่อน นิดนึงนะคะ นั่นก็คือแสงแดดที่พวกเราได้พบเจอกันในทุกๆวัน และรู้จักกันเป็นอย่างดีในนามว่า รังสีอัลตราไวโอเลต (Ultraviolet Ray) หรือที่เรียกกันสั้นๆว่ารังสียูวี (UV) มีทั้งหมด 3 แบบ เรามารู้จักรังสีเหล่านี้ให้ดีขึ้นอีกกัน
รังสียูวีเอ (UVA)
รังสียูวีชนิดที่มีความยาวคลื่นสูงสุด มี ความยาวคลื่น 320-400 นาโนมิเตอร์ เป็นรังสีที่รุนแรง โดยเป็นคลื่นแสงที่สามารถพบได้ตามทั่วไปในตอนกลางวันช่วงเวลาที่แดดจ้า เราสามารถรู้สึกถึงความร้อนจากรังสียูวีเอได้แม้ว่าอยู่ในอาคารผ่านกระจก ถือว่ารุนแรงมากๆเมื่อเทียบกับรังสีอื่นๆ
รังสียูวีเอ จะทะลุผ่านชั้นผิวหนังของเราได้ลึกที่สุด หากผิวได้รับรังสีมากเกินไปจะทำให้สุขภาพผิวหนังเสื่อมโทรม เหี่ยวย่น ผิวคล้ำ หน้าหมองคล้ำ ฝ้า หรือ ฝ้าแดด รวมถึงจุดด่างดำ เป็นหนึ่งตัวการร้ายที่ทำลายเซลล์ผิว ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรด้วยนะทุกคนน
รังสียูวีบี (UVB)
รังสีชนิดนี้มี ความยาวคลื่น 290-320 นาโนมิเตอร์ รังสียูวีบี จะมีอำนาจทะลุผ่านชั้นผิวหนังได้น้อยกว่าชนิด UVA แต่มีพลังงานสูงกว่า สามารถเข้าถึงชั้นหนังกำพร้า และทำร้ายผิวได้ทันที เป็นสาเหตุของผิวไหม้แดด เป็นรอยคล้ำดำ หากบางบริเวณที่ถูกอาบรังสีชนิดนี้มากเกินไปและอาจเป็นอันตราย DNA ใต้หนังกำพร้า ก่อให้เกิดเป็นเซลล์มะเร็งผิวหนังได้
รังสียูวีซี (UVC)
รังสีชนิดนี้มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด สามารถทะลุผ่านชั้นผิวโลกของเราได้น้อย จึงไม่ค่อยเป็นที่สนใจมากเท่าไร แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีนะ
เอาล่ะ ! ทีนี้เรามาดูกันว่าSPFและPAคืออะไร และอะไรดีกว่ากันแน่นะ?
แล้วแบบนี้ระหว่าง SPF กับ PA ค่าไหนจะปกป้องผิวของเราจากแสงแดดได้ดีมากกว่ากัน? พี่รัศมีสามารถตอบได้ว่า “ไม่สามารถตอบได้แน่ชัดว่าแบบไหนดีกว่ากันค่ะ”
เพราะว่า… เจ้า 2 ค่านี้ มีคุณสมบัติในการป้องกันผิวของเราที่แตกต่างกันค่ะ เพราะรังสียูวีจากแสงแดดมี 2 ชนิดหลักคือ UVA และ UVB ดังนั้นกันแดดจึงเกิดการพัฒนาสารที่มีค่าแตกตางกันนั่นเอง ให้จำว่า:
– SPF ป้องกันรังสียูวีบี (UVB)
– PA ป้องกันรังสียูวีเอ (UVA)
SPF และ PA คืออะไร
หลายคนคงสงสัยใช่มั้ยล่ะคะว่าทำไมในครีมกันแดดต้องมีทั้ง SPF และ PA แล้วมันทำหน้าที่อย่างไร แตกต่างกันขนาดไหน เอาเป็นว่าพี่รัศมีจะอธิบายให้ฟังค่ะ
SPFและPA ทั้ง2ตัวนี้มีความสำคัญต่อการปกป้องแสงแดด เนื่องจากช่วยปกป้องผิวของเราจากรังสีอันตรายประเภทต่างๆ เช่น รังสี UVA/ UVB หรือ UVC ครีมกันแดดที่มีทั้งค่า SPF สูงและค่า PA สูงจะช่วยป้องกันความเสียหายจากแสงแดดได้ดีที่สุด ดังนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีทั้งค่า 2 ตัวนี้จะดีที่สุดนั่นเอง
SPF คืออะไร?
ค่า SPF หรือ Sun Protection Factor เป็นค่าการป้องกันรังสียูวีบี (UVB) ที่บอกให้ทราบว่า เราจะอยู่กลางแสงแดดได้นานเท่าใดโดยที่ผิวของเราไม่ไหม้ พี่รัศมีจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ เช่น ถ้าเราอยู่กลางแสงแดด 15 นาที แล้วผิวของเราเริ่มแดงไหม้ นั่นคือผิวเราทนได้แค่ 15 นาที แต่ว่าถ้าทุกคนทากันแดดที่มี SPF30 ผิวเราจะทนแดดได้นาน 15×30 = 450 นาที ก่อนเกิดอาการไหม้ หมายความว่า ครีมกันแดดชนิดนี้ สามารถป้องกันรังสี UVB ได้ 450 นาทีหลังทาโดยที่ผิวไม่แดงไหม้นั่นเอง
เลือกค่า SPF อย่างไรให้เหมาะกับผิวตัวเอง
เลือกค่า SPF สำหรับผิวขาว
เป็นสีผิวที่มีความบอบบางมาก มีโอกาสเกิดผิวไหม้จากการโดนแดดเผาหรือเกิดอาการแพ้ได้ง่าย กันแดดที่เหมาะจึงเป็นครีมที่มีค่า SPF สูงๆ ตั้งแต่ SPF 45 – SPF 60
เลือกค่า SPF สำหรับผิวขาวอมชมพู
เป็นผิวบอบบางและยังเกิดปฏิกิริยากับแสงแดดได้อย่างรวดเร็ว จึงมีโอกาสผิวเสียง่ายกว่าสภาพผิวแบบอื่นๆ กันแดดที่เหมาะ จึงควรเป็นครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ ตั้งแต่ SPF 30- SPF 45
เลือกค่า SPF สำหรับผิวเหลือง
มีเมลานินสูง ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวไม่ให้เกิดการไหม้จากแสงแดดได้ดี แต่ก็ยังมีความบอบบางเหมือนกัน กันแดดที่เหมาะ จึงเป็นครีมที่มีค่า SPF แบบกลางๆ คือ SPF 30
เลือกค่า SPF สำหรับผิวคล้ำ
เป็นผิวที่มีเมลานินสูงมาก เมื่อถูกแสงแดดจะทำให้เห็นว่าผิวคล้ำเสียอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ถึงกับทำให้ผิวไหม้ โดยครีมกันแดดที่เหมาะสมจะเป็นครีมที่มีค่า SPF ต่ำๆ คือ SPF 15
โดยปกติผิวของเราจะรับมือกับแสงแดดโดยปราศจากกันแดดได้ประมาณ 15-30 นาที ครีมที่เราเห็นกันทั่วไปจึงมีค่า SPF 15, SPF 30 และ SPF 50 ทั้งนี้พี่รัศมีก็ต้องขอแนะนำร่วมกันว่า วิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่เลือกค่า SPF ให้เหมาะสม แต่จะต้องทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อการป้องกันแสงแดดสูงสุด เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ครีมเสื่อมสภาพลง เช่น เหงื่อ น้ำและมลภาวะต่างๆในร่างกายอีกด้วย
PA คืออะไร?
ค่า PA ย่อมาจาก Protection Grade of UVA คือค่าประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA ช่วยป้องกันผิวเราไม่ให้เกิดรอยย่น หรือเกิดริ้วรอยที่ทำให้ดูแก่ก่อนวัย
PA+++ ดีกว่า PA+ จริงหรอ?
ค่า PA+
จะสามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ (UVA) ได้มากกว่าผิวปกติ 2 เท่า ถือว่าเป็นการป้องกัน ระดับน้อย จะเหมาะกับคนที่นั่งทำงานในออฟฟิส หรือทำงานที่บ้านค่ะ ครีมกันแดดบางตัวสามารถป้องกันผิวจากแสงสีฟ้าของหน้าจอได้ด้วย
ค่า PA++
จะสามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ (UVA) ได้มากกว่าผิวปกติถึง 4 เท่า ถือว่าเป็นการป้องกัน ระดับปานกลาง อาจจะเหมาะกับคนที่ต้องเจอแดดบ้างเป็นบางครั้ง หรือนั่งทำงานติดหน้าต่าง
ค่า PA+++
จะสามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ (UVA) ได้มากกว่าผิวปกติถึง 8 เท่า ถือว่าเป็นการป้องกัน ระดับที่สูง เหมาะกับคนที่จำเป็นต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งหรือโดนแดดเป็นประจำแต่ไม่ตลอดทั้งวัน
ค่า PA++++
จะสามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ (UVA) ได้มากกว่าผิวปกติถึง 16 เท่า ถือว่าเป็นการป้องกันระดับที่สูงมาก ซึ่งใครที่ชอบการทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นชีวิตจิตใจ ต้องอยู่กลางแสงแดดนานๆหรือเวลาไปเที่ยวทะเล ควรเลือกค่า PA ในระดับนี้จะเหมาะสมมากที่สุดและปกป้องผิวเราไดีดีที่สุดค่ะ
ดังนั้น หากมีค่า pa+ มากขึ้น ก็จะทำให้ระดับความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ(UVA) ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
วิธีเลือกใช้ครีมกันแดดที่เหมาะสมกับผิวเรามากที่สุด
ครีมกันแดดดที่สามารถปกป้องผิวที่ถูกทำลายจากแดด
ควรมองหาครีมกันแดดช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวี และสามารถป้องกันผิวไหม้แดด ปกป้องผิวแก่ก่อนวัย และมะเร็งผิวหนัง ให้เราเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีคำว่า “Broad Spectrum” จะดีมากค่ะ เพราะกันแดดแบบนี้จะมีทั้งค่า SPF และ PA สูงเและสามารถป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB ได้อย่างเต็มที่ ควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถช่วยบำรุงผิวและกันแดดไปในตัวเพื่อให้ผิวแข็งแรงและดูอ่อนเยาว์นั่นเอง
เลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวของเรา
ครีมกันแดดมีหลากหลายหลายประเภทมากค่ะในท้องตลาดให้เราได้เลือกซื้อ เช่น ครีม โลชั่น และสเปรย์ ที่สามารถรปกป้องในระดับต่างๆ และมีความเหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
การเลือกครีมกันแดดต้องคุณสมบัติในการป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB และมีค่า spf และ pa เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถปกป้องได้เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น ครีมกันแดดสำหรับผิวมัน ครีมกันแดดสำหรับผิวแห้ง หรือ ครีมกันแดดสำหรับผิวแพ้ง่าย
การเลือกครีมกันแดดจากประเภทกิจกรรมและกิจวัตรประจำวัน
หากว่าใครเป็นสายออกกำลังกาย มีเหงื่อออกมาก ควรใช้ครีมกันแดดที่กันน้ำจะตอบโจทย์มากที่สุด เพราะมีสามารถทั้งกันน้ำและรป้องกันผิวจากรังสี UVA และ UVB ได้ดีเหมือนกับกันแดดทั่วไปแต่ยังช่วยให้กันแดดไม่หลุดลอกออกมาได้ง่ายถึงแม้ผิวจะเปียกน้ำ
ควรทาครีมกันแดดให้ทั่วและทาซ้ำระหว่างวัน
เพื่อให้การปกป้องผิวของครีมกันแดดทำงานได้ดีและปกป้องได้อย่างเต็มที่ ในครีมกันแดดควรมีทั้ง SPF และ PA ที่เหมาะสมกับสภาพผิว สามารถปกป้องรังสี UVA และ UVB ได้เป็นวงกว้าง แต่หากอยากให้การป้องกันนั่นดีขึ้นไปอีก
ทุกคนจะต้องทาให้ทั่วบริเวณให้ได้มากที่สุดและทาซ้ำบ่อยๆนะคะ ควรเริ่มจากทาในปริมาณที่แนะนำคือ 1/4 ถึง 1/2 ช้อนชา สำหรับการใช้ครีมกันแดดที่ใบหน้าและลำคอ และ 1 ออนซ์สำหรับบริเวณร่างกาย ทาซ้ำทุกสองชั่วโมงหรือหลังว่ายน้ำหรือเหงื่อออก ให้ผิวได้รับการปกป้องตลอดวันได้ดีขึ้นและไม่หมองคล้ำอีกด้วย
ส่งท้ายบทความ ค่าSPFและPAคืออะไร
ตอนนี้พี่รัศมีคิดว่า ทุกคนน่าจะมีความเข้าใจในการเลือกซื้อกันแดดกันมากขึ้นแล้วนะคะ ทุกคนลองนึกภาพตามพี่รัศมีนะคะ แม้ว่ารังสียูวีที่มากับแสงแดดเหล่านี้ สามารถทำร้ายผิวของเราได้ทั้งในชั้นลึกและชั้นตื้น ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็จะทำให้เกิดความหมองคล้ำและริ้วรอยต่างๆ และอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้
พี่รัศมีอยากแนะนำเพิ่มว่าการเลือกใช้ครีมกันแดด ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF และ ค่า PA สูงสุด ควรเลือกใช้ตามความเหมาะสมจากค่า SPF และ PA จากการใช้ชีวิตประจำวันและการทำกิจกรรมกลางแจ้งของเรา ควบคู่กับการทากันแดดก่อนที่จะออกไปสู้กับแสงแดดอย่างสม่ำเสมอค่ะ